นายอภิวัฒน์ อายุ 37 ปี และนางสาวสาวิตรี อายุ 30 ปี สองสามีภรรยาเดินทางจากจ.ชลบุรี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า ตนเพิ่งเสียลูกในครรภ์ไปหลังจากอายุครรภ์ 8 เดือน และปวดท้องจะคลอด โดยแม่เด็ก ได้ร้องขอทางโรงพยาบาลให้ผ่าคลอด เนื่องจากปากมดลูกเปิด และมีอาการจะคลอดลูก แต่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่ายังไม่ถึงกำหนดที่จะผ่า ทั้ง ๆ นี้ อายุครรภ์ได้ 32 สัปดาห์แล้ว แต่หมอกลับบอกว่าต้องรอให้ 35 สัปดาห์ขึ้นไป หมอจึงได้สั่งยากินประมาณ 10 เม็ด ยาฉีดกระตุ้นปอดเด็กในครรภ์ 3 เข็ม และฉีดยายับยั้งการคลอดของแม่ 2 เข็ม เพื่อระงับการคลอดก่อนกำหนด

ต่อมาพบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิต วันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา และหลังจากนั้น หมอได้เข้ามาปลอบใจ โดยบอกแม่เด็กว่ายังไม่ต้องผ่าเด็กออก ให้เก็บเด็กไว้ในครรภ์ได้ 1-2สัปดาห์แล้วจึงค่อยผ่าออกก็ได้ ทำให้แม่เด็กทั้งตกใจ และเสียได้ จึงได้แจ้งกลับไปว่าขอผ่าด่วนที่สุด ทางโรงพยาบาลบอกว่า ผ่าได้วันรุ่งขึ้น เวลาบ่ายโมง ( 24 ตุลาคม ) และทางโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้เข้าใจหรือแสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ทางพ่อแม่ได้ขอถ่ายรูปลูก แต่ทางโรงพยาบาลกลับไม่ยินยอม

นางสาวสาวิตรี เล่าความเป็นมาก่อนที่จะสูญเสียลูกในครรภ์ว่า ตนเองได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 และได้ไปฝากท้องยังคลินิกแห่งหนึ่งในอ.เมือง ซึ่งคุณหมอที่คลินิกเป็นหมอประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.ชลบุรี ตลอดเวลาตนไปตรวจครรภ์ตามที่หมอนัดทุกครั้ง ซึ่งทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง แข็งแรงดี ช่วงฝากท้องตรวจครรภ์ครั้งสุดท้าย 20 ก.ย.67 หมอบอกว่าเด็กยังปกติดี และมีกำหนดคลอดปลายเดือนพ.ย.67 กระทั่งวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา จู่ๆ ตนเกิดปวดท้อง ปวดแบบเป็นๆ หายๆ เป็นช่วงๆ กระทั่งเช้าวันที่ 22 ต.ค. ตนปวดท้องหนักมากเหมือนจะคลอดลูกและมีมูลเลือดไหลออกมา สามีจึงรีบพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลได้พบกับหมอเวรที่ห้องคลอด ตนก็ถามหาหมอที่ตนฝากท้องด้วย แต่พยาบาลบอกว่า คุณหมอมาตรวจไม่ได้ ต้องให้หมอเวรเป็นคนตรวจ เมื่อหมอเวรตรวจครรภ์แล้วก็บอกว่าเด็กปกติดีทั้งชีพจรและการเต้นของหัวใจ เมื่อใช้มือสัมผัสที่ท้องเด็กก็มีการตอบสนองดี ส่วนแม่ก็มดลูกเปิดกว้าง อายุครรภ์อยู่ที่ 32 สัปดาห์ ยังไม่ถึงกำหนดคลอด ต้องให้ยายับยั้งการคลอดก่อนกำหนด โดยแม่ก็นอนอยู่ที่ห้องคลอด ทั้งนี้แม่ได้ขอหมอเวรให้ผ่าคลอดในทันที เนื่องจากปากมดลูกเปิดแล้ว แต่หมอได้ปฏิเสธ โดยระบุว่ายังไม่กำหนดที่จะผ่าคลอด จากนั้นพยาบาลจึงได้นำยายับยั้งการคลอดเป็นแบบแคปซูลมาให้รับประทานต่อเนื่องกัน 8 เม็ด ภายใน 15 นาที ผ่านไป 2-3 ชั่วโมงอาการปวดท้องจะคลอดก็ไม่หาย พยาบาลก็มาบอกว่า หมอสั่งปรับยาให้แรงขึ้นเป็นยาฉีดให้ทางสายน้ำเกลือ 2 ขวด ยาฉีด 2 เข็ม ตั้งแต่ประมาณเที่ยงของวันที่ 22 ต.ค. และให้ไปนอนพักที่ห้องรอคลอดเพื่อดูอาการ หลังจากได้รับยาฉีด ตนรู้สึกใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หน้ามืด ตนก็

และเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 23 ต.ค.ตนได้ยิน พยาบาลที่เข้ามาดูการเต้นของหัวใจของเด็กในครรภ์ ที่เครื่องวัดชีพจรหัวใจ และได้ยินพยาบาลคุยกับหมอว่า หัวใจเด็กเต้นแค่นี้เองเหรอ ต่อมาพยาบาลก็ได้มีการติดเครื่องกระตุ้นเด็กในครรภ์ให้ใหม่

จนเวลา 5 นาฬิกาของวันที่ 23 ต.ค. พยาบาลได้เข้ามาสอบถามอาการ ตนบอกว่าไม่ปวดท้องแล้ว แต่รู้สึกท้องแข็งๆ เหมือนเด็กจะไม่ดิ้น พยาบาลบอกว่า น่าจะเป็นผลจากยาที่ได้รับ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ได้เอะใจอะไรคิดว่าเดี๋ยวหมอก็คงจะเข้ามาตรวจตามเวลา แต่ก็ไม่มีหมอมาเลย จนกระทั่งเวลา 12 นาฬิกา พยาบาลได้ย้ายตนไปชั้น 4 ซึ่งเป็นห้องพักรวม เพราะไม่มีอาการปวดครรภ์แล้ว และแม่บ้านได้มาเอาเครื่องตรวจหัวใจเด็ก ที่ติดอยู่ที่บริเวณท้องของตนออก และชั้น 4 ก็ไม่มีเครื่องวัด หรือการตรวจใดใดทั้งสิ้น โดยก่อนขึ้นมาชั้น 4 ได้รับยาแคปซูลเพิ่มอีก 1 เม็ด และได้รับยากระตุ้นปอดเด็กในครรภ์เข็มที่ 3 ต่อมาเวลา 18.00 น.ตนได้ขอย้ายมาห้องพิเศษ เนื่องจากห้องพักผู้ป่วยรวมอยู่ใกล้กับที่ก่อสร้างทำให้เสียงดังนอนไม่ได้ หลังย้ายไปห้องพิเศษ ก็ไม่ได้มีการติดเครื่องกระตุ้นเด็กให้อีก โดยพยาบาลได้เข้ามาดูชีพจร การเต้นของหัวใจเด็กเ เวลา 18.30 น. และใช้มือจับที่ท้องก็พบว่าเด็กไม่มีการตอบสนองแล้ว จึงอัลตร้าซาวด์ทันที และพบว่าหัวใจเด็กไม่เต้นแล้ว เสียชีวิต และพยาบาลก็ได้ไปแจ้งหมอ

จากนั้นได้มีหมอซึ่งเป็นหมอที่ตนฝากครรภ์ด้วยมาบอกกับตนว่า “เด็กเสียชีวิตแล้ว และบอกว่ามีความผิดปกติของเด็กเอง จึงทำให้เด็กเสียชีวิต ตนจึงถามว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเพราะยาที่ให้แรงไปหรือไม่ แล้วใครจะรับผิดชอบ? หมอตอบว่า “ไม่ควรจะมีใครต้องรับผิดชอบเพราะเกิดจากเด็กเอง ยาที่ให้เป็นยาที่ใช้กันทั่วโลกอยู่แล้ว”

และหมอได้ปลอบใจ โดยบอกแม่เด็กว่ายังไม่ต้องผ่าเด็กออกก็ได้ ให้เก็บเด็กไว้ในครรภ์ได้ 1-2สัปดาห์แล้วจึงค่อยผ่าออก เพื่อให้คุณแม่ทำใจ ทำให้ตนทั้งตกใจ และเสียได้ ที่ได้ยินแบบนี้ จึงได้แจ้งกลับไปว่าขอผ่าด่วนที่สุด ทางโรงพยาบาลบอกว่า ผ่าได้ แต่ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น เวลาบ่ายโมง ( 24 ตุลาคม ) ต่อมา 13.00 น. วันที่ 24 ต.ค.หมอได้ทำการผ่าตัดเอาเด็กที่เสียชีวิตออก โดยตนกับสามีขอให้ทางโรงพยาบาลส่งศพเด็กไปชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และหมอให้ตนนอนฟักฟื้นหลังผ่าตัดที่โรงพยาบาลจนถึงเช้าวันที่ 26 ต.ค. ก่อนจะกลับบ้านได้ โดยทางโรงพยาบาลออกใบความเห็นแพทย์ระบุ “วินิจฉัยโรค ทารกเสียชีวิตในครรภ์ อายุครรภ์ 32 สัปดาห์4 วัน ช่วงฝากครรภ์อัลตร้าซาวด์พบลักษณะผิดปกติ” ซึ่งตนเห็นว่า ก่อนหน้านี้ได้ทำการอัลตร้าซาวด์ครรภ์ทุกครั้ง เด็กในครรภ์อยู่ในภาวะปกติดี เพียงแต่พบแก๊สในครรภ์ และมีน้ำคร่ำมาก ไม่ถึงขั้นต้องยุติการตั้งครรภ์ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งพบว่ามีความขัดแย้งกัน ทำให้เกิดความไม่สบายใจ จึงต้องมาขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิปวีณาฯ

นางปวีณา กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับสองสามีภรรยาที่ต้องมาเสียลูกไปเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่ง หลังรับเรื่องร้องทุกข์ นางปวีณาได้ประสาน พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ อยู่ไพร ผกก.สภ.เมืองชลบุรี และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ พาสองสามีภรรยาไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และส่งศพทารกไปชันสูตรที่นิติเวช รพ.ตำรวจ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง และจะได้ประสาน นพ.กฤษณ์ สกุลแพทย์ สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี เพื่อตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ความเป็นธรรมกับพ่อแม่เด็ก พร้อมประสาน ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้ติดตามสาเหตุการเสียชีวิต และให้ความเป็นธรรม โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป