กมธ.ความมั่นคงจี้ รมว.ศธ.ยกเลิกคำสั่งปิดศูนย์การเรียนเด็กพม่าระหว่างขอจัดตั้งตามกฏหมาย เผยบิ๊ก ศธ.รับไม่ได้หลังชมคลิปเด็กนักเรียนร้องเพลงชาติพม่า-สั่งตรวจเข้มทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 นายมานพ คีรีภูวดล สส.พรรคประชาชนในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฎิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ทบทวนและยกเลิกคำสั่งปิดศูนย์การเรียนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการขอจัดตั้งตามกฏหมายเนื่องจากคำสั่งอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐรวมทั้งกฎหมายและหลักการระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี ดังนี้ 1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พศ.2560 มาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันนกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน และมาตรา 54 รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ค. 2542 มาตรา 12 ที่ระบุว่านอกเหนือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอันมี สิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ได้ให้ความเห็นชอบให้ประเทศไทยถอนข้อสงวนมาตราที่ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งจะเป็นการขยายความคุ้มครองสิทธิ์ให้ครอบคลุมถึงเด็กผู้ลี้ภัย
4. หลักการความปลอดภัยของเด็กภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: CRC) โดยเฉพาะข้อสงวนมาตรา 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ชิงจะเป็นการขยายความคุ้มครองสิทธิให้ครอบคลุมถึงเด็กผู้ลี้ภัย
5. นโยบายการศึกษาเพื่อปวงชนมา โดยในปี พ.ศ 2533 มติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนได้ให้สิทธิด้านการศึกษาทุกระดับแก่เด็กในประเทศไทยที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย กฎหมายไทยระบุว่าเด็กทุกคนมิสิทธิได้รับการศึกษา ขั้นพื้นฐานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 15 ปี โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติหรือสถานะทางกฎหมาย
6. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา13 ทีห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตราย ที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิศรีความเป็นมนุษย์หรือถูกกระทำให้สูญหาย หากเด็กผู้อพยพลี้ภัยที่อยู่ในศูนย์การเรียน ถูกจับและถูกบังคับส่งกลับ
“กมธ.จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาทบทวนและยกเลิกคำสังดังกล่าว และร่วมมือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางดำเนินการปรับปรุงระบบการศึกษาของรัฐให้สามารถจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กกลุ่มนี้และดำเนินการสนับสนุนให้ศูนย์การเรียนเหล่านี้เข้าสู่การขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย และให้ใช้หลักสูตรการจัดการการเรียนการสอนของไทยเป็นหลัก เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษา ชิงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ” นายมานพ กล่าว
ขณะที่สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดสุราษฎร์ธานีรายงานว่า จากมีกรณีการเผยแพร่คลิบวีดิโอช่วงเคารพธงชาติที่มีการร้องเพลงชาติพม่า ต่อจากการร้องเพลงชาติไทย ปรากฏในโลกออนไลน์ และเป็นประเด็นร้องเรียนไปยังกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสุเทพ เก่งสันเที๊ยะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้สั่งการด่วน ให้ทุกจังหวัดเร่งตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่เป็นสถานที่เกิดเหตุตามคลิป ซึ่งนายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทันที พร้อมทั้งมอบหมายให้ นายสุคนธ์ หนูภักดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ จัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานี แถลงข่าว เพื่อชี้แจงเรื่องดังกล่าว พร้อมมาตรการป้องกันไม่ให้ เกิดขึ้น
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่า การลักลอบเปิดศูนย์การเรียนภาษาพม่า ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีมานานแล้ว และได้มีข้อสั่งการให้ดำเนินการสั่งปิดมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังคงลักลอบกลับมาเปิดใหม่ ครั้งนี้ จึงได้แจ้งความดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้ ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนข้อเท็จ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเอาผิดกับผู้จัดตั้ง ผู้สนับสนุน
ด้านนายโชคดี ศรัทธากาล ศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เมื่อปี 2565 ได้มีการยื่นคำขอจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชื่อว่าศูนย์การเรียนมิตาเย๊ะ ในพื้นที่อาคารเรียนเดิมของวิทยาลัยเทคโนโลยีบางกุ้ง ที่ยุติการเรียนการสอนไปแล้ว แต่คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ได้มีมติ ไม่อนุญาตให้จัดตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหลายข้อและได้สั่งให้ยุติการสอนภาษาพม่าไป อย่างไรก็ตาม ศูนย์การเรียนดังกล่าว ยังคงลักลอบเปิดการสอนมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีตนเอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทั้งศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และ ฝ่ายปกครอง ได้เข้าไปสั่งปิด ก็กลับมาเปิดใหม่นับ 10 ครั้ง
นายโชคดีกล่าวว่า บางครั้งผู้ให้เช่าสถานที่ ยังมีการโต้แย้งว่าเจ้าหน้าที่ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งปิด จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือ จนปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน และกฎหมายอื่นๆ ที่จะสั่งปิดได้ จนเกิดกรณีล่าสุด จึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดี ส่วนการดูแลเด็กชาวเมียนมา ซึ่งเรียนอยู่ที่ศูนย์การเรียนดังกล่าว กว่า 1,100 คน สามารถเข้าเรียนยังโรงเรียนในสังกัด สพฐ. โรงเรียนสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น หรือโรงเรียนเอกชน ที่มีอยู่จำนวนมาก เพียงพอจะรับนักเรียนเหล่านี้เข้าเรียนได้ แต่นักเรียนจะเรียนตามหลักสูตรของไทย
นายโชคดีกล่าวว่า ขณะที่หน่วยงานความมั่นคง และ จัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่าในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจของหน่วยงาน เช่น การตรวจสอบการอยู่อาศัยในราชอาณาจักรของเด็กและผู้ปกครอง การอนุญาตทำงาน และการกระทำผิดเกี่ยวกับความมั่นคง จะต้องตรวจสอบโดยละเอียด เพื่อดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งครูชาวเมียนมา 24 คน ครูคนไทย 6 คน รวมถึงครูใหญ่ และ เจ้าของสถานที่ให้เช่าเปิดศูนย์การเรียน ปัจจุบันศูนย์การเรียนภาษาพม่า ที่มีอยู่ประมาณ 6 ศูนย์ ในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ,ชุมชนโพหวาย, ชุมชนวัดสมหวังวนาราม ในอำเภอเมือง, อำเภอคีรีรัฐนิคม, อำเภอดอนสัก และ อำเภอเกาะพะงัน ขณะนี้ได้ปิดหมดแล้ว
ล่าสุดเพจ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เผยแพร่ด้วยว่า ข้อความว่าอนุสนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก กำหนดให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาทั้งในแง่การเล่าเรียนและโอกาสที่จะศึกษาเล่าเรียน เพื่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์อันดี สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลการศึกษาในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอให้เด็กต่างด้าวทุกสัญชาติในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีความประสงค์จะเข้ารับการศึกษาในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี สามารถแจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันและเวลาราชการ เพื่อดำเนินการประสานสถานศึกษารับนักเรียนเข้ารับการศึกษาต่อไป
ขอบคุณภาพจาก สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี